The Ministry of Ungentlemanly Warfare ภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ได้ฝีไม้ลายมือสุดเดือดจากผู้กำกับ Guy Ritchie นำเสนอเรื่องราวของหน่วยรบพิเศษที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Winston Churchill ซึ่งหน่วยรบที่ไม่ธรรมดานี้ประกอบด้วยพันตรี Gus March-Phillipps (รับบทโดย Henry Cavill) โดยพวกเขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจสุดอันตรายเพื่อต่อต้านกองกำลังนาซีที่เน้นแต่การใช้กำลังล้วนๆ ไม่มีการเจรจาใดทั้งสิ้น และหลายท่านอาจจะคุ้นๆ กับเรื่องนี้ ที่ต้องบอกเลยว่าสร้างจากหนังสือชื่อดังของ Damien Lewis ในปี 2014 เรื่อง Churchill’s Secret Warriors: The Explosive True Story of the Special Forces Desperadoes of WWII นั่นเอง
The Ministry of Ungentlemanly Warfare แสบจารชนคนพลิกโลก จะเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาแห่งวิกฤตของโลก ที่กองทัพนาซีรุกรานอังกฤษอย่างลับๆ นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลต้องเผชิญกับความท้าทายอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากขณะนั้นอังกฤษยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอเมริกา และผู้นำทางทหารบางส่วนได้ทรยศหักหลังด้วยการให้ความร่วมมือกับนาซี จนแล้วเมื่อต้องมารับมือกับสถานการณ์นี้ เชอร์ชิลจึงตัดสินใจจัดตั้งหน่วยมือดี ที่มีภารกิจทำลายเรือเสบียงและหน่วยสนับสนุนของนาซีอย่างลับๆ เพื่อเปิดทางให้กองทัพสหรัฐเข้ามาในน่านน้ำอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว หน่วยมือดีนี้ได้รับคำสั่งให้สังหารนาซีได้ตามต้องการ แต่หากถูกจับกุมตัวจะต้องตายเท่านั้น แถมพวกเขายังต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกทางการอังกฤษจับกุมตัวด้วย
ภารกิจอันตรายตกเป็นของทีมจารชนนำโดยพันเอกกัส มาร์ช-ฟิลลิปส์ และเหล่าทหารกล้า แต่การเผชิญหน้ากับฝ่ายนาซีไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับฮินริค ลันช์ (รับบทโดย ทิล ชไวเกอร์) ผู้นำยุทธการที่เฉียบแหลม ไร้ความไว้ใจ และเกลียดชังชาวยิวอย่างรุนแรง หนทางเดียวที่จะเอาชนะเขาได้คือการส่งผู้กองสาวสวยมาร์จอรี สจ๊วต พร้อมด้วยผู้ช่วยผิวสีเฮรอน (รับบทโดย บาบส์ โอลูซันโมกุน) เข้าไปสืบหาข้อมูลในภารกิจลับสุดเสี่ยงเพื่อพิชิตนาซีให้ได้เท่านั้น
กลับมากับอีกหนึ่งผลงานกันอีกครั้งของผู้กำกับอย่าง Guy Ritchie ที่ยังคงเอกลักษณ์การเล่าเรื่องเอาไว้ได้อย่างชัดเจนเหมือนเดิมจริงๆ แม้ว่าเรื่องนี้จะดำเนินเรื่องในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็สามารถผสานกลิ่นอายจากผลงานก่อนๆ ของ Ritchie ไว้ได้อย่างลงตัว เราจะได้ฟีลเหมือนรับชมหนังจากเรื่อง The Man from U.N.C.L.E. (2015) ภารกิจสายลับอันซับซ้อน และยังได้ฟีลลิ่งของสตอรี่แก๊งอาชญากรสุดแสบใน The Gentlemen (2019) ในหนังเรื่องนี้ชัดมาก หรือจะเป็นความบู๊ระห่ำจาก Wrath of Man (2021) ที่ริชชี่ทำออกมาได้ครบองค์มาก เหมือนเป็นการรวมหลายๆ ผลงานลายเซ็นต์เอกลักษณ์ไว้ในเรื่องเดียวเลย ฉากแอ็กชันอันดุเดือด การต่อสู้ที่โหดเหี้ยม จัดมาแบบใส่หนักเต็มกราฟจริงๆ แม้ว่าบางช็อตจะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีความสมจริงเท่าไร แต่ในด้านความมันส์บอกเลยว่า จัดเต็ม ตื่นเต้น เร้าใจ เอาใจคอสายบู๊อย่างเต็มอิ่ม
นอกจากฉากแอ็กชันแบบใส่เต็มแล้ว ตัวหนังยังถือว่ายังโดดเด่นจากนักแสดงมากฝีมือที่มารวมตัวกันอย่างคับคั่ง เทียบกับหนังไทยก็เหมือนกับเป็น 7 ประจัญบานเวอร์ชันยุโรปก็ว่าได้ นำโดยพันตรี Gus March-Phillipps หัวหน้าหน่วยรบพิเศษที่รับบทโดย Henry Cavill นักแสดงผู้โด่งดังจากบท Superman ใน DCEU และยังเคยร่วมงานกับริชชี่อีกด้วย ครั้งนี้เหมือนเป็นการพลิกบทบาทจากสายลับมาเป็นผู้นำทีมรบสุดเกรียนได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ
ตัวละครที่โดดเด่นอีกตัวหนึ่งคือ Anders Lassen ผู้บัญชาการกองกำลังที่มีพละกำลังมหาศาล รับบทโดย Alan Ritchson นักแสดงหนุ่มกล้ามโตที่ผู้ชมคุ้นเคยจากบทบาท Jack Reacher อดีตสารวัตรทหารในซีรีส์อาชญากรรมยอดนิยม REACHER ฉากแอ็กชันทั้งความรวดเร็ว รุนแรง และดิบเถื่อน แต่ก็ยังคงแทรกมุมมองตลกเล็กๆ น้อยๆ ให้ผู้ชมได้เพลิดเพลินเพื่อบาลานซ์หนังให้ไม่เลี่ยนจนเกินไปได้ตลอดทั้งเรื่อง แถมเรายังได้เห็นความซับซ้อนของตัวละครนายทหารที่ต้องเผชิญหน้ากับแนวข้าศึกอย่างกล้าหาญในครั้งนี้
The Ministry of Ungentlemanly Warfare แสบจารชนคนพลิกโลก ถือว่าเป็นโปรเจคหนังฟอร์มยักษ์อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว แถมยังมีกระแสตอบรับจากฝั่งโซนยุโรปดีอีกด้วย แต่ถ้าพูดถึงในด้านความตึงเครียด หรือความลุ้นระทึกต่อเรื่องราวก็อาจจะไม่ค่อยสมจริงไปบ้างในบางส่วน เพราะตัวหนังนำเสนอฉากแอ็กชันอันใหญ่โตแต่ละฉากออกมาง่ายเกินไป โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของเรื่องที่ประเคนฉากแอ็กชันสุดมันส์จากในช่วงไคล์แม็กซ์นั้นที่มาประจัญหน้ากับเหล่ากองทัพนาซี นับเป็นหนึ่งในฉากแอ็กชันที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก แต่ก็อย่างที่บอกไปว่ามันใส่มาแน่นเกินจนหาความเรียลไม่ค่อยได้เท่าไร แต่อาจจะด้วยความที่ทุกอย่างมันดูเหมือนเข้าที่เข้าทางไปหมด ความตึงเครียดต่อฉากสงครามมันจึงไม่ได้พุ่งสูงเข้าขั้นจุดพีคไปมากขนาดนั้น เลยกลายเป็นว่าเน้นแอ็คชั่นสุด บู๊สุด เอามันส์ให้สุดทางก็ทำออกมาค่อนข้างดีไม่ใช่น้อยทีเดียว